ทำความรู้จักกับ Michael Bay ผู้กำกับบ้าพลังที่มีฉากระเบิดอันเป็นเอกลักษณ์
ทำความรู้จักกับ Michael Bay ผู้กำกับบ้าพลังที่มีฉากระเบิดอันเป็นเอกลักษณ์
ในยุคนี้หากจะให้พูดถึงผู้กำกับหนังแอ็คชั่นที่จัดเต็มกับฉากระเบิดและฉากไล่ล่าฟอร์มยักษ์จนได้รับฉายาว่า
No Bomb , No Bay คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไมเคิ้ล เบย์
ชายผู้สร้างหนังแฟรนไชล์ฟอร์มยักษ์อย่าง BAD
BOYS และ TRANSFORMER ซึ่งบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับผู้กำกับคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อครั้งวัยเยาว์
ไมเคิ้ล เบย์
เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวสหรัฐอเมริกา เกิดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1965 ที่ลอสแองเจลิส,แคริฟอร์เนีย เบย์หลงใหลในภาพยนตร์ตั้งแต่เด็ก
ในช่วงวัยรุ่นเขาได้ทดลองทำหนังสั้นมือสมัครเล่นโดยถ่ายทำด้วยกล้อง SUPER 8 และตอนอายุ 15 ปี เขาได้ไปฝึกงานกับบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่อย่าง
LUCASFILM ซึ่งทำให้เขาได้รับโอกาสทำงานสำคัญๆ อย่างการออกแบบสิ่งของและสตอรี่บอร์ดที่จะนำไปใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง
STAR WARS (1977) และ INDIANA
JONES : RAIDERS OF THE LOST ARK เบย์ได้จบการศึกษาที่ Wesleyan University และเรียนที่วิทยาลัย Pasadena’s Art Center College of Design
แจ้งเกิดครั้งแรก
หลังจากที่เรียนจบได้ไม่นาน
เบย์ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองจากการเป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอเพลงและภาพยนตร์โฆษณา
ซึ่งผลงานกำกับมิวสิควิดิโอชิ้นแรก คือ เพลง “SOLDIER
OF LOVE” ของ DANNY OSMOND หลังจากที่ผลงานแรกของเขาประสบความสำเร็จ
เบย์ได้รับโอกาสทำมิวสิควีดีโอเพลงให้กับศิลปินอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น TINA TURNER , LIONEL RITCHIE
, MEAT LOAF หลังจากนั้น เบย์ ได้ทำงานกำกับโฆษณาชิ้นแรกให้กับแคมเปญ
“GOT MILK?” ซึ่งผลงานชิ้นนี้ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลชนะเลิศจาก
CLIO AWARD และเขายังได้ทำโฆษณาให้กับแบรนด์ดังอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น
NIKE , LIVI , COCA-COLA อีกด้วย จนเมื่ออายุ 26 ปี เบย์ ก็ได้สามารถคว้ารางวัลหลักๆ เกี่ยวกับสาขาด้านภาพยนตร์โฆษณา
และรวมไปถึงรางวัลจาก CANES LION ที่เมืองคานส์อีกด้วย
เริ่มงานกำกับภาพยนตร์
เบย์ได้เริ่มกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในปี
1995 เรื่อง BAD BOYS หนังที่พูดถึงเรื่องราวของ 2 ตำรวจสุดกวนที่ต้องร่วมมือกันคลี่คลายคดีฆาตกรรมและการค้ายาเสพติดมูลค่ามหาศาล
นำแสดงโดย วิลล์ สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ และได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คู่ใจอย่าง เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ เป็นครั้งแรก
ซึ่งหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จโดยสามารถทำรายได้ถึง 141 ล้านเหรียญ และในปี 1996 เบย์กับ บรั้คไฮเมอร์ร่วมงานกัน
อีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง THE ROCK ภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์ที่ได้ ฌอน
คอนเนอรี่ นิโคลลาส
เคจ และ เอ็ด แฮร์ริส มาแสดงนำ โดยได้รับความนิยมอย่างมากและสามารถทำรายได้ไปกว่า
335 ล้านเหรียญ
ในปี1998 เบย์และบรั้คไฮเมอร์ก็ได้กลับมาสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง
ARMAGEDDON ภาพยนตร์ไซ - ไฟ ที่ว่าด้วยการเดินทางไปอวกาศของเหล่านักขุดเจาะน้ำมันเพื่อที่จะฝังระเบิดบนดาวหางที่กำลังจะพุ่งชนโลก
ที่นำแสดงโดย บรู๊ซ วิลลิส เบน เอฟเฟล็ก บิลลี่ บ๊อบ
ธอร์นตั้น และ ลิฟ ไทเลอร์
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แม้จะไม่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีนักแต่ก็สามารถสร้างรายได้สูงถึง 550 ล้านเหรียญจากทั่วโลกซึ่งส่งผลให้
ARMAGEDDON เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในปี 1998
และเบย์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุด
และสามารถทำรายได้เกินร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
ต่อมาเบย์ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำอีกครั้งกับการสร้างภาพยนตร์สงครามที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงเรื่อง
PEARL HARBOR ที่ว่าด้วยสงคราม ความรักและน้ำตาที่ใช้ทุนสร้างถึง
140 ล้านเหรียญ นำแสดงโดย เบน เอฟเฟล็ก จอช์
ฮาร์ทเน็ทท์ , เคธ เบคอินเซล , จอน วอยท์และ อเล็ค บอลวิน ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนักแต่หนังเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่คนดูอย่างมาก
จนสามารถทำรายได้สูงถึง 450 ล้านเหรียญ
NO
BOMB , NO BAY
จนกระทั่งในปี 2007 เบย์ได้สร้างภาพยนตร์แฟรนไชล์ยอดนิยมอย่าง TRANSFORMER ภาพยนตรแอ๊คชั่นไซ-ไฟ ฟอร์มยักษ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหุ่นของเล่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา
เนื้อเรื่องของหนังว่าด้วยสงครามของเหล่าหุ่นยนตร์ต่างดาวที่มาต่อสู้กันบนโลกมนุษย์
โดยครั้งนี้เบย์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง สตีเฟน
สปีลเบิร์กที่มาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ให้ โดยทุ่มทุนสร้างไปกว่า 150 ล้านเหรียญ ซึ่งนำแสดงโดย ไซอา ลาบัฟ , แมแกน ฟอกซ์ , จอร์ช บูฮาเมล , ไทริส กิ๊ปสัน
ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 709 ล้านเหรียญ ส่งผลให้ เบย์ ได้สร้าง TRANSFORMER : REVENGE OF THE FALLEN (2009)
และ TRANSFOMER : DARK OF THE MOON (2011) นับว่าเป็นภาคที่ทำรายได้สูงที่สุดในหนังแฟนไชล์ชุดนี้ที่ทำรายได้ไปกว่า
1,124 พันล้านเหรียญ และภาคล่าสุดกับ TRANSFORMER
: AGE OF EXTINCTION (2014) ภาคนี้เบย์ก็ได้ทำการเปลี่ยนนักสักแสดงยกชุด
โดยในภาคนี้ก็ได้นักแสดงซึ่งนำทีมโดย มาร์ค วอลเบิร์ก , แสตนลีย์ ทัคกี้ , เคลซี่ แกรมเมอร์
ในภาคนี้ก็ทำรายได้ไปกว่า 1.104 พันล้านเหรียญ
และจากภาพยนตร์แฟรนไชล์ TRANSFORMER นี้กลายเป็นแบรนด์ที่ติดตัวไมเคิ้ล
เบย์ว่าเป็นผู้กำกับที่เชี่ยวชาญด้านการทำลายล้างและฉากระเบิดเป็นอย่างยิ่ง
จนได้ฉายาว่า NO BOMB ,NO BAY
นอกจากการเป็นผู้กำกับแล้ว เบย์
ก็ยังได้เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังของตนเองและของคนอื่นอีกหลายเรื่อง
โดยผลงานที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ก็ได้แก่ ARMAGEDDON
, PEARL HARBOR , THE ISLAND , THE PURGE , TRANSFORMER (ทั้ง 4 ภาค) และนอกจากนั้นเบย์ยังได้ก่อตั้งบริษัทสร้างภาพยนตร์ชื่อ
PLATINUM DUNES บริษัททำภาพยนตร์สยองขวัญที่ได้สร้างผลงานมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น THE TEXAS CHAINSAWS MASSACRE (2003)
, THE PURGE (2013), THE PURGE ANACHY (2014) ,
A NIGHTMARE ON ELM STREET (2010) แม้ว่าในตอนนี้ เบย์ จะได้ยื่นคำขาดวางมือจากการเป็นผู้กำกับหนังแฟรนไชล์ TRANSFORMER ไปแล้ว แต่ในอนาคต
เบย์ยังมีแพลนที่จะสร้างภาคต่อของหนังชุดนี้โดยเขาจะเข้ามาเป็นโปรดิวเซอร์แทน โดยในปี 2018 นี้เราจได้เห็น BUMBLEBEE หนังภาคแยกเรื่องแรกของหนังชุดนี้มาให้ชมในช่วงปลายปีอีกด้วย ก
ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ผู้กำกับสายบ้าพลังอย่าง ไมคิ้ล เบย์ จะสร้างหนังอะไรมาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันอีก และหลังจากที่เขาวางมือจากหนังที่เป็นเมือนลูกรักของเชาอย่าง TRANSFORMER อนาคตในวงการหนังของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป คนดูอย่างเราก็ได้แต่หวังว่า เบย์ ะกู้ชื่อเสียงที่เคยมีเหมือนยุคที่เขารุ่งเรืองเมื่อ 10 ปีที่แล้วกลับมาอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น